เรื่องเกี่ยวกับ ยาคุมกำเนิด ที่ยังเข้าใจผิด (ตอนที่ 2)


...

ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดแบบรายเดือน ประกอบด้วย ฮอร์โมนเพศหญิงสังเคราะห์ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเอสโตรเจน (Estrogen) กับ กลุ่มโปรเจสติน (Progestin) สามารถออกฤทธิ์ได้คล้ายกับฮอร์โมนเพศในร่างกาย แต่ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค
ดังนั้น การป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์ต้องสวมถุงยางอนามัย ไม่สามารถใช้ยาคุมกำเนิดป้องกันได้

ทางที่ดี ถ้าจะมีเพศสัมพันธ์และกลัวเรื่องความสะอาดและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สวมถุงยางอนามัยในทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ไว้ก่อนดีกว่า เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาเรื่องสุขภาพ และปัญหาจากการท้องไม่พร้อมตามมาภายหลัง

นอกจากนี้ สาเหตุที่ผู้หญิงบางคนรู้สึกว่าตัวเองอ้วนขึ้นหลังจากกินยาคุม
เป็นเพราะร่างกายตอบสนองไวต่อฮอร์โมนในยาคุมกำเนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ยาคุมที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง จนทำให้เกิดภาวะบวมน้ำได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วเมื่อหยุดยาก็จะกลับเป็นปกติ และผู้หญิงที่กินยาคุมก็ไม่ได้พบปัญหาแบบนี้กันทุกคน
ดังนั้นไม่ควรเอายาคุมไปใช้เป็นยาเพิ่มน้ำหนักเด็ดขาด ถือเป็นการใช้ผิดจุดประสงค์และอาจมีอันตรายด้วย

ในทางกลับกัน ถ้าใครกังวลเรื่องน้ำหนักตัว
อยากจะบอกว่าปัจจุบันนี้มียาคุมกำเนิดที่ประสิทธิภาพดี และลดผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดอาการบวมน้ำด้วย เช่น ยาคุมสูตรฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ ผสมกับฮอร์โมนโปรเจสติน รุ่นใหม่ เช่น ดีโซเจสทริล, เจสโตดีน, นอร์เจสติเมท เป็นต้น
จากงานวิจัยพบว่าถึงใช้ต่อเนื่องนานเป็นปี ก็ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม ประจำเดือนมาตรงรอบ ที่สำคัญมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงถึง 99.9% เมื่อใช้อย่างถูกวิธี

ดังนั้นถ้าอยากใช้ยาคุมกำเนิดให้ถูกวิธี อย่าลองผิดลองถูกเองนะ
ปรึกษาเภสัชกรดีกว่า จะเป็นเภสัชกรที่ร้านยาใกล้บ้าน
หรือ บริการเภสัชกรรมทางไกลที่ได้มาตรฐาน ก็ได้นะฮะ

#คุมให้ดีชีวิตก็ดี
#ร้านยาที่ดีต้องมีเภสัชกร
บทความโดย พี่จอน หมอยาพาเพลิน
กลุ่มเภสัชกร เภแคร์ Bhaecare

Ref :
(1) World Health Organization, “Medical Eligible Criteria for Contraceptive Use”. 5th edition. 2015
(2) Vincenzo D.L. et al. “Hormonal contraceptives: pharmacology tailored to women’s health”. Human Reproduction Update, Vol.22, No.5 pp. 634–646, 2016.
(3) JAISAMRARN U, REINPRA YOON D, VIRUTAMASEN P. “Clinical Study of a Monophasic Pill Containing 20 µg Ethinylestradiol and 150 µg Desogestrel in Thai Women”. J Med Assoc Thai 2001; 84 (Suppl 1): S377-S383.