ยาคุมฉุกเฉินไม่เหมาะกับการคุมกำเนิดแบบใช้เป็นประจำ เนื่องจากมีประสิทธิภาพการคุมกำเนิดเพียง 75%-85% เท่านั้น ทางการแพทย์จึงแนะนำให้ใช้เฉพาะกรณีที่ผิดพลาด เช่น ถุงยางรั่วฉีกขาด หรือ ฝ่ายหญิงถูกกระทำทางเพศโดยไม่ยินยอมเท่านั้น
ผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ในยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่อาจพบได้ คือ มีเลือดคล้ายประจำเดือนออกผิดปกติหรือออกกะปริบกะปรอย ตกขาวเป็นสีน้ำตาล มักเกิดในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน สำหรับประจำเดือนมักมาตรงเวลาหรืออาจคลาดเคลื่อนไปบ้างโดยมาเร็วหรือมาช้าไปราว 1 สัปดาห์ นอกจากนี้อาจเกิดอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย ตึงเต้านม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องช่วงล่าง ประจำเดือนมาก หากรับประทานยาครั้งเดียวในขนาด 1.5 มิลลิกรัม อาจพบอาการบางอย่างได้มากขึ้น เช่น ปวดศีรษะ ตึงเต้านม ประจำเดือนมากขึ้น หากรับประทานยามากเกินไปอาจส่งผลทำให้เกิดความผิดปกติที่รังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูก (ถ้าการป้องกันของยาคุมฉุกเฉินล้มเหลว)
ดังนั้นถ้ามีโอกาสเสี่ยงที่จะมีเพศสัมพันธ์ ควรเตรียมตัวป้องกันด้วยวิธีอื่นที่มีประสิทธิภาพสูงดีกว่า เช่นควรเลือกสูตรที่มีฮอร์โมนโปรเจสตินรุ่นใหม่ที่มีฤทธิ์สมดุล (neutral progestin) เช่น ดีโซเจสทริล, เจสโตดีน, นอร์เจสติเมท เป็นต้น ร่วมกับใช้ถุงยางอนามัย เพราะนอกจากจะคุมกำเนิดได้สูงถึง 99.9% แล้ว โอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยด้วย เช่น ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากสิว เป็นต้น
คุมกำเนิดให้ดีไม่ใช่เรื่องยาก ปรึกษาเภสัชกรที่ร้านขายยาใกล้บ้าน หรือบริการเภสัชกรรมทางไกลที่ได้มาตรฐาน ได้เลยนะคะ
#ฉุกคิดดีกว่าฉุกเฉิน
#ร้านยาที่ดีต้องมีเภสัชกร
บทความโดย ภก. พัชรมณฑน์ พัชรยุทธิ
กลุ่มเภสัชกร เภแคร์ - Bhaecare
Ref: